กาแฟลาวบุกตลาดไทย
ระยะเวลาที่ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี ที่เราเฝ้ามองและสัมผัสกับกาแฟเพื่อนบ้าน
ต้องวางใจให้เป็นธรรมในด้านความก้าวหน้าและการพัฒนาเข้าสู่ระดับ
โดยไม่เข้าข้างกาแฟไทยเราเองที่ก้าวพัฒนาสู่วงการมาตรฐานตามรูปแบบ
กาแฟคั่วบด จากนักวิชาการหลายฝ่ายมาเต็มรูปแบบของ
"ตลาดกาแฟสด"สู่ความนิยมของสังคมไทยไม่ยาวนานนัก (สมัยฟองสบู่แตก)
มาไม่กว่า
6-7 ปี
ในช่วงแรกนั้นเราก็พอรู้จักกาแฟเพื่อนบ้าน จากประเทศลาว
ซึ่งมีเพื่อนสนิทที่ทำงานในประเทศลาว
ซื้อมาฝากให้ชิมรสสมัยนั้นก็เรียกได้ว่ารสชาติยังไม่เป็นที่พึงพอใจ
ก็คงประมาณกาแฟชงถุง แบบกาแฟโบราณของไทยเรา

(ไร่กาแฟ สปป.ลาวที่มีเจ้าหน้าที่และคนงานเวียดนามเข้าไปทำงานร่วมพัฒนา)
ได้มีผู้กล่าวขานถึงไร่กาแฟที่สมบูรณ์
กว้างขวางในพื้นที่ราบ
Bolovens
ที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟ เพราะเป็นพื้นที่ราบสูงกว่าระดับน้ำทะเลพันกว่าเมตร
และ มีสภาพอากาศหนาวเย็นดินดีมีแร่ธาตุที่เคยเป็นภูเขาไฟ
เหมาะสมแก่กาแฟโดยไม่ต้องการพึ่งพาปุ๋ยเคมี อันเป็นธรรมชาติตัวหลัก
ที่เป็นกาแฟออร์แกนิคส์ และ หากจะศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของกาแฟลาว สมัยชาวฝรั่งเศสเข้ามาครอบครอง
(นานนับเป็นร้อยปี)ได้นำเอากาแฟเข้ามาปลูกด้วยเป็นพันธุ์ดั่งเดิม ที่ไม่ได้บ่งไว้
มาทราบจากการชิมรสของนักวิชาการเมื่อเร็วๆนี้เองว่าส่วนหนึ่งเป็น กาแฟอราบิก้าลูกผสมเดิม
(Tipica)ชาวลาวเรียกว่า"กาแฟน้อย"ที่มีรสชาติเป็นอันดับหนึ่งของเอเซียซึ่งปลูกอยู่ไม่มากเพียงราว 15%ของพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกาแฟโรบัสต้าราว
80 %

ในช่วงระยะเวลา4-5 ปีที่ผ่านมา
กลุ่มชาวไร่กาแฟของลาวได้รับการ
ส่งเสริมปรับปรุง สร้างไร่จากที่กระจัดกระจาย
รวมเป็นพื้นที่แปลงใหญ่เพื่อให้เหมาะสมกับการรวมรวม การดูแลรักษา
และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อให้เข้าสู่ระบบเกษตรอุตสาหกรรม
โดยมีเวียดนามที่เป็นมิตรประเทศได้ให้การสนับสนุน
ด้วยพื้นที่ที่ใกล้เคียงกันและเชื่อมโยงในด้านผลผลิต
เพื่อการส่งออกเป็นสินค้าด้านการเกษตร
ที่เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในกลุ่มเอเชี่ยน โดยมีเวียดนามและอินโดนีเซีย
ซึ่งปัจจุบันเป็น
ผู้ส่งออกกาแฟเป็นอันดับ 2 และ อันดับ 4 ของโลก
แม้กาแฟลาวจะมีส่วนเพียงน้อยแต่ก็ได้วาง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(ฉบับที่6)ของ สปป.ลาวไว้กำหนดที่จะไปสู่เป้าหมายการส่งออกในปี
2553 ให้ได้จำนวนสูง(ราว 20,000ตัน/ปี)เป็นมูลค่าราว 36 ล้านดอลล่าร์ โดยมีประเทศสำคัญที่ส่งออกคือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และโปแลนด์

ในปีช่วงปีหลังๆมานี้ชาวไร่กาแฟได้รวมตัวกันเป็นสหกรณ์ฯ และสมาคมกาแฟลาว มีผู้ประกอบการจากประเทศไทยเข้าไปดำเนินงานเป็นอุตสาหกรรมกาแฟลาว
วางแผนปรับปรุงพัฒนากาแฟ และส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารับการฝีกอบรม ด้านการดูแล
และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อก้าวไปสู่เกษตรอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐาน
ประกอบกับการปลูกกาแฟของลาวไม่มีการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และ
ปลอดสารเคมีอันเป็นกฏของรัฐที่ไม่มีการนำเข้าอยู่แล้ว จึงเป็นที่สนใจของต่างประเทศ
ประธานสมาคมกาแฟลาว

(นายสีสะหนุก สีสมบัด ประธาน)ได้ผลิตกาแฟคั่วบดตัวแรกออกสู่ตลาดในนามของ
"Sinounk"พร้อมกับกาแฟปากซอง
Pakxong
coffeeรวมทั้งบริษัทผู้ประกอปการไทย ได้เข้าไปตั้งบริษัท(Dao
Heuang)ผลิตกาแฟ คั่วบดในนามของ"Dao"เน้นกาแฟ"Tipica"ที่มีรสชาติที่หอมเข้ม
ของกาแฟอราบิก้าเลือดผสมกับโรบัสต้า
ทั้งมีความขมเข้มเป็นที่พอใจของตลาดเอเซีย
กาแฟลาวเริ่มเปิดตัวในประเทศไทย เมื่อปี 2549
นี้จากงาน"พืชสวนโลก"และรวมกลุ่มกับกาแฟสมาคมกาแฟลาว นำมาเปิดแนะนำในงาน
ThaiFex ที่กรุงเทพฯเมื่อเร็วนี้ เป็นที่ฮือฮาของคอกาแฟ ต่อมากาแฟสีหนุก เปิดเป็นคิออสค์
(Kiosk) กาแฟภายใต้แบรนด์ Sinouk Cafe Lao ซึ่งในปัจจุบันมีถึง 2-3 แห่งใน
เมืองเชียงใหม่
กาแฟลาวเริ่มเข้าสู่ตลาดไทยอย่างเป็นระบบเมื่อต้นปีนี้
หลังจากรัฐบาลไทยได้เริ่มลดภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟคั่วเหลือเพียง 5%
แต่ยังคงเก็บในอัตรา 40% สำหรับเมล็ดกาแฟดิบ
ผู้ประกอบการในไทยก็จะเริ่มมองเห็นว่า
ด้วยความได้เปรียบในด้านภาษีนำเข้ากาแฟสำเร็จที่ต่ำและต้นทุนที่ถูกกว่ากาแฟไทย
แม้แต่สารกาแฟก็ยัง
มีราคาต่ำกว่าเกือบครึ่งราคาของกาแฟไทยในแหล่งที่ดี
ยังได้ส่งผลกระทบในปีที่ผ่านๆมา ต่อผลผลิตกาแฟชาวไร่ในภาคเหนือด้วย
สมาคมกาแฟลาวดำเนินการขอใบรับรองผลิตภัณฑ์ออร์กานิคส์
เพื่อยืนยันการเป็นกาแฟที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีใดๆ
ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างกว้างขวาง จำหน่ายได้ราคาสูงขึ้น
ทั้งในญี่ปุ่น สหรัฐฯ และ อียู
นอกจากนี้ลาวยังได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรทั่วไปภายใต้โครงการ
Everyting But Arm (EBA)ที่สหภาพยุโรป
(European Union : EU.)ให้กับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
รวมถึง สปป.ลาว โดย อี.ยู.ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีนำเข้า
และ
ยกเลิกกำหนดโควต้านำเข้าสินค้าทุกประเภทจาก สปป.ลาว
นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีเอเซี่ยน (Asean Free Trade Area)
AFTA. ซึ่งจะช่วยให้ สปป.ลาวส่งออกกาแฟไปยังประเทศในกลุ่มอาเชี่ยนได้มากขึ้น
ทั้งนี้ภายใต้ข้อตกลง AFTA.ส่งผลให้ในปัจจุบันประเทศไทยเรียกเก็บภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบ สปป.ลาวลดลงเหลือเพียงร้อยละ 40 จากอัตราเดิมที่เก็บร้อยละ 90
อันเป็นข้อปัญหาให้เกิดการกระทบ แก่ผลผลิตกาแฟภายในประเทศไทย
(ข้อมูลบางส่วนจาก..ส่วนวิเคราะห์ธุรกิจ ฝ่ายวิชาการ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย)

ในมุมมองของเราและนักวิชาการเห็นว่า
๐ กาแฟลาวได้เปรียบในตลาดไทยและการส่งออก
โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีระหว่างประเทศ และในเขตการค้าเสรีเอเชี่ยน
เป็นผลดีในการส่งเสริมขยายตลาดกาแฟลาว
๐ กาแฟลาวได้รับการช่วยเหลือจากมิตรประเทศ(เวียดนาม)
ที่กำลังครองตลาดระดับโลกของการส่งออกโดยการช่วยร่วมกัน
ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน และ มีประสบการณ์สูงด้านการส่งเสริม และ
วิชาการเกษตรสำหรับไร่กาแฟ
๐
กาแฟลาวสามารถเข้าตลาดไทยได้ดีประเด็นแรกเพราะความนิยมเพิ่มขึ้นในรสชาติ
Tipica รสชาติเข้ม-ขมเต็มรสกว่ากาแฟลูกผสมคาติมอ
ในคอกาแฟที่ชื่นชอบ Espresso กลิ่นหอมนุ่มลึกจากการ(หมักเนื้อเมล็ด)ด้วยวิธีตากแห้ง
บอดีแน่นหนักเต็มคำเพราะมีเลือดโรบัสต้าผสม
๐ กาแฟลาวได้รับความนิยมเพราะเป็นกาแฟที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ
โดยความเป็นกาแฟออแกนิคส์ ด้วยการไม่ใช้ปุ๋ย-สาร ยาเคมี
ตามหลักกฏหมายการนำเข้าสารเคมีของ สปป.ลาวอยู่แล้ว
เป็นความต้องการของสังคมกาแฟประเทศต่างๆ
๐ มีพื้นที่ราบสูงอันกว้างขวาง และ เป็นดินภูเขาไฟ
อันเหมาะสมแด่พืชกาแฟ และยังสามารถขยายการปลูกเพิ่มได้อีกมาก
อันเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศได้ในอนาคต ทั้งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศเรา
โดยภาพรวมแล้วผู้ประกอบการไทย
อาจจะประเมินภาพลักษณ์ของกาแฟลาวต่ำไป ในฐานะเมืองด้อยพัฒนา
แต่อย่าลืมความเป็นมาที่ธรรมชาติช่วย เป็นเอกลักษณ์กาแฟออรแกนิคส์สมบูรณ์
ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า สามารถที่จะบุกเปิดตลาดในบ้านเราได้
และก็ได้ประเดิมสร้างความนิยมแล้วในพื้นที่ แดนอราบิก้าคาติมอรของเมืองไทยในภาคเหนือ.......
"ลุงรภ" เชียงใหม่กาแฟสด.
กลับหน้าแรก....